การที่ถูกฟ้องว่าผิดสัญญาเงินกู้นั้น แม้มีสัญญาเงินกู้ก็ไม่ใช่ว่าจะชนะคดีเสมอไป และจำเลยก็มีช่องทางต่อสู้คดีได้หลายประการ โดยทนายความควรนำสืบให้ศาลเห็นข้อพิรุธว่าความเป็นจริงไม่ได้มีการกู้ยืมเงินกันจริง หรือได้รับเงินไม่ครบถ้วน ประการแรกต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีโดยตั้งประเด็นให้ถูกต้อง เช่น โดนบังคับขู่เข็ญทำสัญญากู้ ไม่เคยได้รับเงินกู้หรือได้รับเงินกู้ไม่ครบจำนวน สัญญากู้ไม่บริบูรณ์ ดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมาย ดอกเบี้ยเกินอัตราหักชำระต้นเงินได้ตามแนวคำพิพากษาศาลฏีกาฉบับล่าสุด สัญญากู้ปลอม ดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย นิติกรรมอำพราง คนรับเงินเป็นคนอื่นไม่ใช่คนกู้  ซึ่งเมื่อยื่นคำให้การต่อสู้คดีที่ถูกต้องแล้ว ศาลจะนัดสืบพยาน โดยทนายจำเลยต้องนำสืบหักล้างพยานโจทก์ให้ได้ตามที่ต่อสู้ โดยต้องนำสืบให้ศาลเห็นข้อพิรุธทั้งหลาย เช่น โจทก์จำเลยไม่สนิทสนมที่จะให้กู้เงินจำนวนมาก ไม่มีหลักประกันเงินกู้ ไม่มีคนค้ำประกัน เงินจำนวนมากไม่ใช้การโอนแต่กลับส่งมอบเงินสด ฐานานุรูปไม่น่าเชื่อว่ากู้เงินจำนวนมาก ไม่มีพยานมาเบิกความ พยานไม่รู้เห็นการกู้ยืมหรือส่งมอบเงิน ดอกเบี้ยเกินอัตรา ชำระดอกเบี้ยเกินอัตราไปจำนวนมากสามารถหักชำระต้นเงินได้มิใช่ดอกเบี้ยเป็นโมฆะ ดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยอย่างไร สัญญากู้ปลอมอย่างไร ผิดนัดชำระแต่ไม่รีบดำเนินคดีกลับปล่อยเนินนาน ไม่เคยทวงถามมาก่อน อำพรางนิติกรรมอื่น  การเบิกความขัดแย้งกันเองของพยานโจทก์เกี่ยวกับการส่งมอบเงิน  หากศาลเห็นว่ามีข้อพิรุธ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องต่อไป  ดังนั้นการมีสัญญากู้ยืมไว้ในมือก็ไม่ใช่สิ่งที่บ่งชี้ว่าจะชนะคดีเสมอไป  By www.siaminterlegal.com