เมื่อได้รับหมายเรียกจากตำรวจหรือพนักงานสอบสวนแล้ว ประเด็นสำคัญต้องดูว่าเป็นหมายเรียกอะไร ครั้งที่เท่าใด วันที่เท่าใด ให้ไปพบเมื่อใด เวลาใด และมีเหตุขัดข้องอย่างไรหรือไม่ รวมทั้งประเมินว่าเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่อย่างไร  โดยส่วนมากแล้วหมายเรียกที่ส่งมาจะเป็นหมายเรียกผู้ต้องหาเพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหา  โดยตำรวจจะแจ้งข้อหาให้ทราบและจะสอบปากคำท่านว่าพฤติการณ์ในคดีเป็นอย่างไร จะให้การอย่างไร  ซึ่งหมายถึงจะให้การปฏิเสธหรือให้การรับสารภาพ  กรณีดังกล่าวหากท่านเป็นผู้ต้องหาท่านจะให้การอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์แก่คดี  โดยข้อดีของการพาทนายความเข้าร่วมฟังการสอบสวนนั้นนับเป็นสิ่งที่ควรกระทำและมีค่ายิ่งแค่คดีของท่าน  ซึ่งหมายถึงผู้ที่คอยชี้แนะให้คำแนะคำอันเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี การให้การต่อพนักงานสอบสวนต่างๆ เนื่องจากถ้อยคำที่ให้การเป็นพยานนั้นจะถูกนำไปใช้ในคดีทั้งหมดและศาลจะหยิบยกไปใช้ในการพิจารณาโทษด้วย  การให้การปฏิเสธและขอให้การในชั้นศาลอย่างเดียวนั้นก็สามารถให้การได้  แต่การให้การในลักษณะดังกล่าวศาลอาจมองว่าเป็นพฤติการณ์ที่เป็นพิรุธว่าพยานหลักฐานของจำเลยเป็นการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาใหม่ในชั้นศาลไม่น่าเชื่อถือและศาลมักจะให้แพ้คดีอยู่เสมอ  การให้การที่ดีควรปรึกษาทนายความว่าต้องให้การอย่างไรตามความเป็นจริง ซึ่งจะทำให้ศาลเชื่อตามที่จำเลยนำสืบพยาน  น้ำหนักพยานจำเลยก็จะมีความน่าเชื่อถือและหนักแน่นควรรับฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด  และทนายความที่เข้าร่วมฟังการสอบสวนจะทำให้ไม่เกิดการข่มขู่ขณะสอบสวน หรือพิมพ์สำนวนการสอบสวนไปในทางที่เสียหายเท่ากับเป็นการตรวจสอบการทำงานของตำรวจอีกทางหนึ่งด้วย  การวางแผนคดีผิดพลาด หรือการนำสืบพยานไม่ดี ไม่ละเอียดจะส่งผลทำให้แพ้คดี และการอุทธรณ์หรือการฏีกาก็จะกระทำได้ยากมากขึ้น เนื่องจากข้อเท็จจริงที่นำเสนอในศาลชั้นต้นไม่น่าเชื่อถือ  ซึ่งข้อเท็จจริงหรือการวางรูปคดีในความผิดแต่ละข้อหาย่อมมีความแตกต่างกันและเป็นความสามารถเฉพาะตัวของทนายแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ  By www.siaminterlegal.com